Skip to content Skip to footer

สรุปประเด็นสำคัญจากงานสัมมนาออนไลน์ | 2 ก.ย. 68

การสัมมนาออนไลน์ เรื่อง การเสริมสร้างความยืดหยุ่นและเตรียมพร้อมด้านสาธารณสุขในเมือง เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Webinar on Building Urban Health Resilience and Preparedness for Public Health Emergencies in response to Climate Change) | 2 กันยายน 2568

บทนำ

ดร.สุวจี กู๊ด ที่ปรึกษาด้านปัจจัยทางสังคมที่มีผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของเมือง องค์การอานามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (WHO-SEARO) กล่าวเปิดงานโดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของความยืดหยุ่นของเมืองในการเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ วัตถุประสงค์ของงานนี้คือ เพื่อให้นายกเทศมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับเมืองมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความยืดหยุ่นด้านสุขภาพในเมืองและการเตรียมพร้อมรับมือภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้เมืองต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกสามารถปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบต่อสุขภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: ประเด็นสำคัญสำหรับเมือง | Faustina Gomez

สาระสำคัญ
  • โรงพยาบาลและคลินิกในเขตเมืองต้อง “เตรียมพร้อมรับมือความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศ” ซึ่งรวมถึงการมีระบบน้ำและสุขาภิบาลที่รองรับการเกิดน้ำท่วมได้
  • เมืองต่าง ๆ จำเป็นต้องมีระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคจากน้ำท่วมขัง
  • ระบบเตือนภัยฉุกเฉิน ในชุมชนมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเผยแพร่ข้อมูลด้านความปลอดภัยง่าย ๆ ในช่วงเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรง
  • การจัดสรรงบประมาณที่เฉพาะเจาะจงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เมืองสามารถนำแผนความยืดหยุ่นไปปฏิบัติได้จริง

Faustina Gomez เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างความยืดหยุ่นให้กับระบบสาธารณสุขเมื่อเผชิญกับภัยพิบัติจากสภาพภูมิอากาศ ซึ่งครอบคลุมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์ การออกแบบโรงพยาบาลต้องมีระบบป้องกันน้ำท่วมและระบบน้ำสะอาดที่ตรวจสอบได้ ขณะเดียวกันบุคลากรทางการแพทย์ควรได้รับการฝึกอบรมให้สามารถวินิจฉัยและรับมือกับโรคที่เกิดจากความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ต้องมีการเตรียมเวชภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับการรับมือเหตุฉุกเฉินทางสภาพภูมิอากาศไว้อย่างเพียงพอ

สำหรับโรงพยาบาลและคลินิกในเขตเมืองที่ก่อสร้างขึ้นในปัจจุบันจำเป็นต้องถูกออกแบบให้พร้อมรับมือความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศในอนาคต ควรมีระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมขังและการระบาดของโรค รวมถึงบริการน้ำสะอาดและสุขาภิบาลที่เชื่อถือได้ เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางน้ำ

การสร้างความตระหนักรู้ในชุมชนมีความสำคัญไม่แพ้กัน เช่น การเผยแพร่ข้อมูลที่เข้าใจง่ายเกี่ยวกับการป้องกันตนเองในช่วงคลื่นความร้อน น้ำท่วม และการระบาดของโรคต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการจัดสรรงบประมาณแบบเฉพาะเจาะจง แผนการสร้างความยืดหยุ่นของเมืองก็จะยังคงเป็นเพียงแค่เอกสารบนกระดาษเท่านั้น

เอกสารประกอบการสัมมนา ที่นี่

การเตรียมพร้อมและการสร้างความยืดหยุ่นต่อภัยคุกคามใหม่ (PRET) | Dr. Pushpa Rajan

สาระสำคัญ
  • ภัยคุกคามใหม่ไม่สามารคคาดการณืได้ จึงต้องอาศัยการเตรียมพร้อมเชิงรุกและการประสานงานร่วมกัน
  • กรอบแนวคิด PRET เป็นเครื่องมือที่ยืดหยุ่นสำหรับการวางแผนรับมือโรคอุบัติใหม่
  • เมืองควรใช้แนวทางการวางแผนที่ครอบคลุมทุกความเสี่ยง (all-hazards planning) และจัดการฝึกซ้อมสถานการณ์จำลองเพื่อตรวจสอบความพร้อม
  • การได้รับสนับสนุนจากสถาบันหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและการจัดสรรงบประมาณอย่างต่อเนื่องเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ

ดร. Pushpa Rajan กล่าวว่า ภัยคุกคามใหม่ที่ไม่อาจคาดเดาได้จำเป็นต้องการเตรียมความพร้อมเชิงรุกและการประสานงานอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองซึ่งมีความสำคัญต่อการวางแผนรับมือภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีทั้งความหนาแน่นของประชากรสูงและความเปราะบางที่ซับซ้อน

กรอบแนวคิด PRET มอบแนวทางการวางแผนที่ยืดหยุ่น โดยใช้วิธีการที่อิงตามรูปแบบการแพร่เชื้อสำหรับโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ ดร. ราชัน กล่าวเพิ่มเติมว่า เมืองต่าง ๆ ต้องนำแนวทาง all-hazards มาประยุกต์ใช้ ควบคู่กับการบูรณาการเครื่องมือ PRET และจัดการฝึกซ้อมสถานการณ์จำลองเพื่อทดสอบระดับความพร้อม อีกทั้งการมีสถาบันที่แข็งแรงและการสนับสนุนงบประมาณที่เพียงพอและต่อเนื่องก็เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้ความพยายามเหล่านี้ประสบความสำเร็จ

กรอบแนวคิด PRET เป็นเครื่องมือที่นำเสนอแนวทางการวางแผนโดยอิงตามรูปแบบการแพร่เชื้อสำหรับโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ เมืองต่าง ๆ สามารถบูรณาการ PRET เข้ากับแนวทางการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติแบบองค์รวม พร้อมทั้งจำลองสถานการณ์เพื่อทดสอบระดับความพร้อม อีกทั้งการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากสถาบันที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการจัดสรรงบที่เพียงพอและต่อเนื่อง ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้ความพยายามเหล่านี้ประสบความสำเร็จ

เอกสารประกอบการสัมมนา ที่นี่

การมีส่วนร่วมของชุมชนและการเสริมสร้างความยืดหยุ่นต่อภัยคุกคามด้านสาธารณสุขในเขตเมือง | Dr. Rose Aynsley

สาระสำคัญ
  • การตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินในเขตเมืองมีความซับซ้อน เนื่องจากประชากรมีความหลากหลาย และมีการรับรู้ถึงความเสี่ยงแตกต่างกัน
  • การจัดการ “ภาวะข้อมูลระบาด (infodemics)” หรือการแพร่กระจายข้อมูลที่ไม่ถูกต้องอย่างรวดเร็ว เป็นส่วนสำคัญของการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ

ดร. Rose Aynsley อธิบายว่า การจัดการเหตุฉุกเฉินในเขตเมืองมีความซับซ้อนมากกว่าพื้นที่ชนบท เพราะต้องเผชิญกับประชากรที่หลากหลาย การรับรู้และการประเมินความเสี่ยงที่แตกต่างกัน รวมถึงอุปสรรคในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข เธอชี้ให้เห็นว่า ในภาคสาธารณสุขมักพบความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างกลุ่ม เช่น “กลุ่มที่ปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” และ “กลุ่มที่ลังเลต่อการฉีดวัคซีน” โดยการแพร่ข่าวลือและข้อมูลเท็จจากกลุ่มเหล่านี้สามารถสร้างความเสียหายอย่างแท้จริง ทั้งผลกระทบทางสุขภาพโดยตรง การเจ็บป่วยและการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนปัญหาสังคม เช่น ความไม่ไว้วางใจต่อการตอบสนองของภาครัฐ

การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องก้าวข้ามขอบเขตการทำงานแบบเดิม และถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเตรียมความพร้อมและการรับมือภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในเขตเมือง

เอกสารประกอบการสัมมนา ที่นี่

การสร้างเมืองที่มีความยืดหยุ่น | Sunisa Ho

สาระสำคัญ
  • เมืองที่มีความยืดหยุ่นคือเมืองที่สามารถ “สร้างกลับให้ดีกว่าเดิม (build back better)” หลังเกิดภัยพิบัติ และกลับคืนสู่สภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว
  • หลักธรรมาภิบาลที่ดีมีความสำคัญ เช่น การรู้ว่าควรติดต่อใครและหาทรัพยากรจากที่ไหนในยามฉุกเฉิน
  • จำเป็นต้องมีงบประมาณเฉพาะสำหรับการประเมินความเสี่ยง ไม่ใช่เพียงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น

Sunisa Ho อธิบายว่า เมืองที่มีความยืดหยุ่นคือเมืองที่เมื่อเผชิญภัยพิบัติแล้วสามารถ “สร้างกลับให้ดีกว่าเดิม” (build back better) และฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เธอได้นำเสนอแนวคิดของโครงการ “Making Cities Resilient 2030” (MCR2030) ของสํานักงานลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติแห่งสหประชาชาติ (UNDRR) และเน้นย้ำถึงความสำคัญของธรรมาภิบาลที่ดี ซึ่งหมายรวมถึงการรู้ว่าควรติดต่อใครและหาทรัพยากรได้จากที่ไหนในยามฉุกเฉิน นอกจากนี้ เมืองจำเป็นต้องมีงบประมาณที่จัดสรรเฉพาะสำหรับการประเมินความเสี่ยง (risk assessment) ซึ่งแตกต่างจากงบลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้การวางแผนรับมือมีความครอบคลุมและยั่งยืน

แนวคิด “ระบบของระบบ” (System of Systems): เมืองเป็นพื้นที่ที่ซับซ้อน ประกอบด้วยระบบที่เชื่อมโยงกันหลายด้าน เช่น สาธารณสุข พลังงาน และการคมนาคม ความล้มเหลวของระบบหนึ่งสามารถส่งผลต่อระบบอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการเสริมสร้างความยืดหยุ่นจึงต้องใช้มุมมองแบบองค์รวมที่มองทั้งระบบ

การลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ: เป้าหมายคือการปรับเปลี่ยนจากแนวทางการตอบสนองเชิงรับ (reactive) ที่มักก่อให้เกิดความสูญเสีย ไปสู่แนวทางเชิงรุกและเชิงสร้างสรรค์ (proactive, regenerative) ที่มุ่งป้องกันและสร้างความเข้มแข็งให้กับเมืองก่อนเกิดภัยพิบัติ

ในกรณีศึกษาของเมือง เออร์ซิน ประเทศตุรกี เมืองนี้ถือเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของความยืดหยุ่นในเมือง แม้จะตั้งอยู่ใกล้จุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ แต่ไม่มีอาคารใดถล่มหรือผู้เสียชีวิตเลย เนื่องจากนายกเทศมนตรีบังคับใช้ข้อกำหนดการก่อสร้างอย่างเคร่งครัด แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมและการบังคับใช้กฎระเบียบที่มีประสิทธิผ

กรณีศึกษา: เมืองเออร์ซิน (Erzin) ประเทศตุรกี ได้รับการยกย่องเป็นตัวอย่างความสำเร็จด้านความยืดหยุ่น แม้ตั้งอยู่ใกล้จุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ แต่กลับไม่มีอาคารถล่มหรือมีผู้เสียชีวิต เนื่องจากนายกเทศมนตรีบังคับใช้กฎหมายอาคารอย่างเคร่งครัด แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมและการบังคับใช้กฎระเบียบที่มีประสิทธิผล

เอกสารประกอบการสัมมนา ที่นี่

Q&A

เมืองสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยที่มีความเสี่ยงสูงมาก

ดร. Pushpa ตอบว่า จำเป็นต้องมี “แผนระดมสรรพกำลัง” (Surge Capacity Plan) ซึ่งอาจต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมเพื่อจัดการความเสี่ยงได้อย่างเพียงพอ

เมืองสามารถเริ่มต้นเตรียมพร้อมรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างไร เมื่อมีงบประมาณจำกัด

Gomez แนะนำให้เริ่มจากโครงการเล็กและเรียบง่าย โดยมุ่งไปที่การดำเนินการที่ต้นทุนต่ำแต่ให้ผลกระทบสูง เช่น การระบุชุมชนเปราะบาง การจัดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับคลื่นความร้อนและน้ำท่วม

สร้างความร่วมมือและจัดหาเงินทุน: ร่วมมือกับองค์กรท้องถิ่น สาธารณสุข และองค์กรไม่แสวงหากำไร (NGOs) เพื่อใช้ทรัพยากรร่วมกัน พร้อมทั้งตระหนักว่าการมีงบประมาณเฉพาะด้านเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้แผนจากทฤษฎีสู่การปฏิบัติได้จริง

การมีส่วนร่วมของชุมชนสำคัญอย่างไร

Dr. Aynsley ตอบว่า การมีส่วนร่วมของชุมชมีความสำคัญอย่างยิ่ง และการมีเจ้าหน้าที่เฉพาะด้านและงบประมาณที่เพียงพอ รวมถึงการมีผู้นำท้องถิ่นที่เข้มแข็ง เป็นปัจจัยสำคัญต่อความยั่งยืนของแผนงาน

แหล่งข้อมูลอ่านเสริม